จางเสเหลียง วีรบุรุษดินแดนตงเป่ย

จางเสเหลียง วีรบุรุษผู้รักชาติ ผู้หาญกล้าจับเจียงไคเชก ผู้นำพรรคก๊กมินตั๋งไว้เป็นตัวประกัน เพื่อให้หันมาสนใจสู้ศึกกับกองทัพญี่ปุ่น ดีกว่าจะมาสู้รบกับกองทัพคอมมิวนิสต์ คนจีนด้วยกันเอง

จางเสเหลียง 张学良 เกิดเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 1901 เขาเป็นบุตรของ จางจั้วหลิน 张作霖 ขุนพลที่ครองอำนาจในดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือดินแดนตงเป่ยของจีน

จางเสเหลียง มีฉายาว่า จอมพลน้อย 少帅 โดย จางจั้วหลิน บิดาของเขาคือจอมพลใหญ่ 大帅 เขาได้ถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดอำนาจบิดามาตั้งแต่ยังเด็ก และได้เป็นผู้บังคับบัญชาทหารหน่วยหนึ่งในกองทัพของจางจั้วหลิน ตั้งแต่อายุได้ 20 ปี

จางจั้วหลิน มีความเชื่อระบอบกษัตริย์ และต่อต้านการปกครองแบบสาธารณรัฐ ดังนั้นเขาจึงหวังฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ขึ้นมาอีกครั้ง โดยได้รับการสนับสนุนจากญี่ปุ่น

ในช่วงปี 1920 จางจั้วหลินสามารถสร้างอิทธิพล โดยสามารถรุกมายังดินแดนปักกิ่ง จนถึงขั้นแต่งตั้งตนเองเป็นจอมพลแห่งสาธารณรัฐ แต่ต่อมา กองทัพก๊กมินตั๋งของ เจียงไคเช็ก ได้ค่อย ๆ ยกทัพรุกกลับจากจีนทางตอนใต้ จนทำให้นายพลจางจั้วหลินต้องถอยทัพออกจากกรุงปักกิ่งไป

โดยในระหว่างที่กำลังล่าถอยกลับไปยังดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นที่มั่นเดิมนั้น นายพลจางจั้วหลินก็ถูกฝ่ายญี่ปุ่นลอบสังหารโดยการวางระเบิด เพื่อให้กองทัพทัพญี่ปุ่นสามารถครอบครองดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน หรือ ดินแดนแมนจูเรีย ได้โดยตรง

ในตอนนั้น จางเสเหลียง ยังเป็นหนุ่มที่ไม่เอาไหน ทั้งติดผู้หญิง และติดมอร์ฟีนอย่างหนัก แต่เมื่อจางเสเหลียง ได้ขึ้นครองอำนาจต่อจากบิดาแล้ว เขาก็หวังที่จะแก้แค้นกองทัพญี่ปุ่น เขาจึงหันไปร่วมเป็นพันธมิตรกับพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งนำโดยเจียงไคเช็ก โดยจางเสเหลียง มีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้บังคับบัญชาการใหญ่ของกองทัพก๊กมินตั๋ง และนายพลผู้นำกองทัพตะวันออกเฉียงเหนือ

ในวันที่ 18 กันยายน 1931 เกิดเหตุการณ์ซึ่งเรียกว่า อุบัติการณ์มุกเดน (Mukden Incident) ญี่ปุ่นได้สร้างสถานการณ์วางระเบิดทางรถไฟในมุกเดน (เมืองเสิ่นหยางในปัจจุบัน) แล้วกล่าวหาทหารจีนว่าเป็นผู้ก่อวินาศกรรม เพื่อที่ญี่ปุ่นจะสามารถใช้เป็นข้ออ้างในการรุกรานประเทศจีนอย่างเต็มตัว

นายพลจางเสเหลียง ได้รับคำสั่งจากพรรคก๊กมินตั๋งให้ดำเนินนโยบายไม่ต่อต้าน และสั่งห้ามไม่ให้กองทัพของเขาต่อสู้ และวางอาวุธในกรณีที่ทหารญี่ปุ่นบุกเข้ามา จนทำให้เมืองสำคัญทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่มณฑลเหลียวหนิง มณฑลจี๋หลินและมณฑลเฮย์หลงเจียง ได้ถูกกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดได้ในเวลาเพียง 5 เดือน หลังจากกรณีมุกเดนเริ่มต้น และต่อมาญี่ปุ่นได้ตั้ง จักรพรรดิ์ปูยี เป็นจักรพรรดิ์หุ่นเชิด ในประเทศแมนจูกั๋ว (1932 -1945) ซึ่งแท้ที่จริงแล้วอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของญี่ปุ่น

หลังจากเหตุการณ์การถอยทัพ ทำให้จางเสเหลียงถูกสั่งปลดออกจากตำแหน่ง เนื่องจากเขาถูกวิจารณ์ในการถอยทัพไม่ต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่น ทั้งที่ในตอนนั้นมีกองกำลังและอาวุธยุธโธปกรณ์เหนือกว่า แต่แท้ที่จริงแล้วนายพลจางเสเหลียง ได้ทำตามคำสั่งของกองทัพก๊กมินตั๋ง

หลังถูกปลด จางเสเหลียงได้ย้ายไปอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ และเริ่มบำบัดอาการเสพติดอย่างจริงจัง โดยได้ความช่วยเหลือจาก วิลเลียม เฮนรี โดนัลด์ ผู้เคยเป็นนักข่าวจากเมลเบิร์น แล้วจึงได้เดินทางไปดูงานที่ยุโรป

หลังกลับมาในประเทศจีน จางเสเหลียง มีแนวคิดเรียกร้องให้พรรคก๊กมินตั๋งหันมาเตรียมพร้อมรับมือกับการรุกรานของญี่ปุ่นแทนที่จะทุ่มกำลังไปกับศึกภายในกับกองทัพคอมมิวนิสต์ แต่ในตอนนั้น เจียงไคเช็ก ผู้นำพรรคก๊กมินตั๋ง เห็นว่าพรรคคอมมิวนิสต์เป็นมะเร็งร้ายที่อยู่ภายในร่างกาย มีอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าญี่ปุ่นซึ่งเปรียบเหมือนจากแผลภายนอก ดังนั้นเจียงไคเช็ก จึงมุ่งมั่นเพียงจะเอาชนะกองทัพพรรคคอมมิวนิสต์ให้สิ้นซากเสียก่อนแล้วจึงค่อยไปทำศึกกับญี่ปุ่น

ในช่วงต้นปี 1936 ในระหว่างที่จางเสเหลียงอยู่ในเมืองซีอาน เขามีโอกาสได้เจรจากับ โจวเอินไหล นักการทูตคนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งทั้งคู่เห็นตรงกันว่า ประเทศจีน ทั้งพรรคคอมมิวนิสต์ และพรรคก๊กมินตั๋ง จะต้องร่วมมือกันต่อต้านญี่ปุ่น จึงได้ยุติสงครามระหว่างกันไว้ชั่วคราว

จางเสเหลียงได้ร่วมมือกับ หยางหู่เฉิง 杨虎城 ผู้บัญชาการแห่งกองทัพตะวันตกเหนือของพรรคก๊กมินตั๋ง ในการจับตัวเจียงไคเชกไว้เป็นตัวประกัน ในอุบัติการณ์ซีอาน 西安事变 โดยเมื่อเจียงไคเชกได้เดินทางมายังเมืองซีอานในวันที่ 4 ธันวาคม 1936 เพื่อวางแผนที่จะเผด็จศึกพรรคคอมมิวนิสต์ จางเสเหลียงได้สั่งให้ทหารมือดีไปลักพาตัวเจียงไคเชกจากที่พัก แล้วเกิดปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่ประจำอยู่ เจียงไคเชกได้ยินเสียงปืนต่อสู้จึงรีบหนีไปซ่อนตัวในถ้ำแห่งหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ถูกจับตัวไว้ได้

ภายหลังเจียงไคเชกถูกจับตัว เขาได้ถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลงนโยบายโดยเปลี่ยนไปร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์ชั่วคราว เพื่อหันไปต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่น แต่ถึงแม้ว่าเจียงไคเชกจะถูกจับเป็นตัวประกัน แต่เขาก็ยังยืนยันว่าให้ฆ่าเขาเสียยังจะดีกว่าให้เขาปฏิบัติตาม

การกักตัวเกิดขึ้นเป็นเวลาหลายวัน จนมาดามเจียงมาถึงเมืองซีอานเพื่อเจรจาเงื่อนไขการปล่อยตัว หลังจากนั้นอีก 2 สัปดาห์ เจียงไคเชกได้ตกลงที่จะยุติสงครามกลางกับกองทัพพรรคคอมมิวนิสต์ และเริ่มหันไปเตรียมความพร้อมที่จะทำสงครามกับกองทัพญี่ปุ่น ทำให้เจียงไคเชกได้ถูกปล่อยตัว และเดินทางกลับเมืองนานกิง พร้อมกับนายพลจางเสเหลียง

หลังกลับถึงนานกิง นายพลจางเสเหลียงได้ถูกจับกุมทันทีในข้อหากบฎ และถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 10 ปี และถึงแม้ว่าเขาจะได้รับการอภัยโทษแต่เขาก็ถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านเป็นเวลากว่า 50 ปี โดยช่วงแรกถูกขังไว้ ณ บ้านในจีนแผ่นดินใหญ่ และภายหลังจึงย้ายไปขังในไต้หวัน

การกระทำของจางเสเหลียง ถือเป็นการเสียสละครั้งใหญ่ และนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้พรรคก๊กมินตั๋งหันไปทำศึกกับญี่ปุ่น หลังจากที่ปล่อยให้ญี่ปุ่นข่มเหงชาวจีนมาหลายปี แต่ใขณะเดียวกันการกระทำของจางเสเหลียงก็เป็นการเปิดโอกาสให้กองทัพคอมมิวนิสต์ค่อย ๆ ฟื้นกำลัง จนภายหลังกลับมาเอาชนะพรรคก๊กมินตั๋ง ส่วนตัวเจียงไคเชกก็ต้องถอยไปยังไต้หวัน โดยนายพลจางเสเหลียง ยังถูกพาไปขังยังไต้หวันด้วย

หลังการจากไปของ เจียง ไคเช็ก ในปี 1975 จางเสเหลียง เริ่มมีอิสระมากขึ้น และมีโอกาสได้ไปเยี่ยมลูก ๆ ที่ย้ายตามภรรยาคนแรกไปอยู่สหรัฐฯ ก่อนตัดสินใจย้ายไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่ฮาวาย และเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2001 ด้วยอายุ 100 ปีกับ 4 เดือน