ในยุคจีนโบราณ มักนิยมบันทึกตัวอักษรไว้ที่กระดองเต่า หรือกระดูกสัตว์ ต่อมา เมื่อการบันทึกอักษรจีนมีการพัฒนาขึ้น ก็ได้มีการบันทึกตัวอักษรจีนไว้ในบันทึกแผ่นไม้ไผ่ ซึ่งเรียกว่า เจี่ยนตู๋ 简牍 หรือ จู๋เจี่ยน 竹简
ในสมัยราชวงศ์โจว (1066 – 256 ปีก่อนค.ศ.) ราชวงศ์ฉิน (221-206ปีก่อนค.ศ.) ถึงราชวงศ์ฮั่น(206ปีก่อนค.ศ. – ค.ศ.220) นั้น เป็นยุคสมัยที่ยังไม่มีการใช้กระดาษบันทึกตัวอักษร ดังนั้นบันทึกของจีนโบราณส่วนมากจะถูกเขียนบันทึกลงบนแผ่นไม้ไผ่หรือแผ่นไม้จากบนลงล่าง และเปิดอ่านจากขวาไปซ้าย
เนื่องมาจากวัสดุที่ใช้ที่เป็นแผ่นไม้ไผ่ที่มีความแคบและยาว และคนจีนสมัยก่อนยึดมือขวาเป็นหลัก ขยับมือซ้ายลากเปิดออก
โดยขั้นตอนการเขียนบันทึกนั้นจะเริ่มจากการใช้มือซ้ายหยิบแผ่นไม้ขึ้นมา มือขวาจับพู่กันจุ่มหมึกเขียน พอเขียนเสร็จแล้วก็แยกวางลงไว้ด้านขวา และหยิบแผ่นไม้อันใหม่ทางด้านซ้ายขึ้นมาเขียนต่อ ทำซ้ำไปอย่างนี้จนเขียนเสร็จ ก็จะนำเชือกหนังวัวมาร้อยเรียงมัดติดไว้ด้วยกัน
จู๋เจี่ยน 竹简 หรือแผ่นไม้ไผ่ เป็นวัสดุหลักสำคัญในการเขียนหนังสือของคนจีนในอดีต ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในสมัยราชวงศ์โจวตะวันออก (770-256ปีก่อนค.ศ.) เรื่อยมาถึงยุคสมัยเว่ยจิ้น ค.ศ. 220-420 (ยุคสมัยสามก๊กถึงยุคสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันตก-ตะวันออก) โดยนำไม้ไผ่มาเหลาเกลาจนมีลักษณะแคบยาว
ซึ่งตำราบันทึกม้วนไม้ไผ่นี้ หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อบังคับ ข้อกำหนดทางกฎหมายหรือพระราชกฤษฎีกาจะมีความยาวราว 3ฟุต (ประมาณ 67.5 ซม.)
หากเป็นการคัดลอกตำราเล่มสำคัญๆ จะมีความยาว 2ฟุต 4นิ้ว (ประมาณ 56ซม.) และ
หากเป็นเพียงการเขียนจดหมายทั่วไปของชาวบ้านจะมีความยาวอยู่ที่ 1 ฟุต (ประมาณ 23 ซม.)
ทั้งนี้ ที่เมืองฉางซาในมณฑลหูหนาน เมืองจิ่งโจวในมณฑลหูเป่ย เมืองหลินอี๋ในมณฑลซานตง และในบางพื้นที่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เช่น ตุนหวง จีว์เหยียน (ในเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน) อู่เวย ล้วนเป็นแหล่งสำคัญที่มีการขุดค้นพบบันทึกไม้ไผ่โบราณ
ภายหลังเกิดการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมใหม่ คนจีนเริ่มรับเอาวิธีการอ่านแบบชาวตะวันตก ที่ในอดีตทำการจดบันทึกหรือวาดภาพลงบนหนังสัตว์หรือบนผิวไม้และเปิดอ่านจากบนลงล่าง จดบันทึกในแนวนอนจากซ้ายไปขวา
แต่ยังมีคนจีนรุ่นใหม่อีกไม่น้อยที่บอกชื่นชอบการเขียนแบบบนลงล่างอย่างจีนโบราณ เพราะรู้สึกว่ามีความสะดวกและสร้างความเพลิดเพลินให้กับผู้อ่าน เหมือนอย่างภาพที่เห็นในหนังจีนย้อนยุค ที่นักแสดงใช้มือหนึ่งถือหนังสืออ่าน อีกมือว่างสามารถหยิบพัดขยับโบก หรือเอาไพล่หลัง หรือลูบเคราไปพลาง เป็นท่วงท่าที่ดูสง่างามกลมกลืนและชวนเพลินทั้งคนแสดงและคนดู
แต่บางคนเห็นแย้งว่า การเขียนแบบจีนโบราณนั้น ทำให้คนอ่านเหมือนแสดงความคำนับเห็นด้วยในเนื้อความตามหนังสือ ผงกหัวหงึก ๆ ไม่หยุด เหมือนกับไม่รู้จักคิด ผิดกับของตะวันตกที่คนอ่านจะอ่านไปส่ายหัวไป แสดงความคัดค้าน เหมือนกับอ่านไปคิดไป ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ
เครดิต CRI